วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธีป้องกันและรักษาสิว

วิธีป้องกันและรักษาสิว

วิธีป้องกันง่ายๆ คือ การกำจัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว ไม่ให้มันกำเริบ โดยมีข้อแนะนำต่างๆ ดังนี้
  1. นอนหลับให้เพียงพอ - การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิวเช่นกัน เนื่องจากร่างกายเราอ่อนแอและเพลีย
  2. อารมณ์ขัน - อารมณ์ขัน ทำให้เรามีความสุข ปราศจากความเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของสิว
  3. กินอาหารจำพวกผัก - การที่เรากินอาหารจำพวกผัก จะทำให้เราสามารถล้างพิษออกจากร่างกายได้ และยังมีวิตามินต่างๆ ซึ่งยังช่วยทำให้เราร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
  4. กินอาการที่มีไขมันสูงแต่พอดี - หากเราเกิดอาหารไขมันสูงมากๆ เข้า จะทำให้มีไขมันอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุอีกประการของการเกิดสิว
  5. ล้างหน้าให้สะอาด - การล้างหน้าให้สะอาดทำให้ใบหน้าของเราไม่สกปรก เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน แต่ควรระวัง ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าของเราเสียสมดุล การล้างหน้า ควรล้างเพียง 2 ครั้ง เช้าเย็น ยกเว้น ช่วงที่เสร็จจากกีฬา, ออกกำลังกาย หรือ ช่วงที่คิดว่าหน้าเราสกปรกมากจริง ๆ สามารถล้างหน้าได้ตามต้องการ
  6. ใช้กระดาษซับหน้ามัน - หากหน้าเรามันมากๆ ลองเปลี่ยนมาใช้กระดาษซับหน้ามันแทน เป็นวิธีช่วยอีกทางหนึ่ง ควรซับแต่พอดี ไม่ควรซับทั้งวันจะดูไม่ดีและเสียนิสัย
  7. หลีกเลี่ยงการจับหัวสิว ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด - เพราะฝ่ามือของเรามีทั้งความสกปรก และ แบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสิว
  8. ใช้หลังฝ่ามือลูบแทน - หลังฝ่ามือเป็นบริเวณที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวมากที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ค่อนข้างสะอาด ดังนั้นแล้วการใช้หลังฝ่ามือลูบคลำเล็ก ๆ น้อยๆ ถือว่าไม่ทำให้สกปรกมากนัก แต่เราควรล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  9. ใช้ยากำจัดหัวสิว - ปัจจุบันมีอยู่ทั่วไปตามศูนย์การค้า
  10. ใช้ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ - วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป
  11. ใช้ยาอย่างจริงจัง - การใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม โดยเน้นไปที่ยาประเภท เบนซอย์เพอรอกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือประเภทที่มีกรดซาลิซีลิก (Salicylic Acid) ที่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ ข้อควรระวัง ควรเริ่มใช้จากเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ไม่ควรใช้เปอร์เซ็นต์สูงๆ จะทำให้ผิวเราแพ้ และอาจเกิดอาการแพ้ยา
  12. ใช้ยาฉีดแบบเฉียบพลัน - แพทย์สามารถฉีดคอร์ติโชน ที่เม็ดสิวเพื่อให้สิวยุบภายในไม่กี่ชั่วโมง
  13. ปรึกษาแพทย์ - หากใช้วิธีต่างๆ ไม่ได้ผล แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ฮอร์โมน ซึ่งการปรึกษาแพทย์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ควรทำ ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคลินิกรักษาหน้าเปิดอยู่ทั่วไป

กระบวนการเกิดสิว

กระบวนการเกิดสิว

สิวมักเกิดบริเวณSeborrhic area ซึ่งผิวหนังบริเวณนั้นมีPilosebaceous unit ชนิด Sebaceous follicle,เป็น follicleที่ประกอบไปด้วย small villus hair และ large multiacina sebaceous gland เมื่อมีการกระตุ้นSebaceous glandมากเกินพอดีจะสร้างไขมัน(Sebum) มามากขึ้น Sebumนี้ประกอบด้วย triglyceride,ester,waxและสารอื่นๆ หากSebumถูกผลิตมากจะระบายsebumออกทางรูขุมขนไม่ทัน และค้างในfollicle ,sebumจะกระตุ้นให้Keratinocyteสร้างkeratinมามากขึ้น และจับตัวกันแน่นผิดปรกติเกิดเป็นสิวอุดตัน(Comidone)
ต่อมาการอุดตันนั้นทำให้เกิดสภาพไร้ออกซิเจนในรูขุมขน แบคทีเรียP.acneจะ เจริญเติบโตได้ดีและย่อยสลายไขมันเป็นสารที่มีความสามารถrecruitเม็ดเลือด ขาวมาที่บริเวณนั้นและก่อให้เกิดการอักเสบตามมา จึงเกิดเป็นสิวอักเสบ พออายุ 40 ขึ้นไป สิวจะไม่ขึ้นอีกต่อไป

สาเหตุของสิว

สาเหตุของสิว 
มีหลายสาเหตุ เป็นที่ถกเถียงกันว่า สิวเกิดจากอะไร สาเหตุหลัก ๆ แบ่งได้ 2 ปัจจัยดังนี้
  • ปัจจัยภายใน คือ ปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ฮอร์โมน, กรรมพันธุ์, โรคเรื้อรัง และ ผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตั้งแต่กำเนิด
  • ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยา, เครื่องสำอาง, สภาพแวดล้อม, สังคม, แสงแดดและอุณหภูมิ ความสะอาด และ อาหาร ซึ่งเราสามารถป้องกันได้

แผลเป็นจากสิว

แผลเป็นจากสิว 
 หากเป็นสิวธรรมดาหัวขาวหรือหัวดำ เมื่อหายจะไม่เป็นแผลเป็น แต่หากเป็นสิวที่มีการอักเสบชนิด nodular หรือเป็นหนอง pustular เมื่อหายอาจจะทำให้เกิดแผลเป็นซึ่งพบได้หลายลักษณะ
  • macule ลักษณะเป็นผื่นแดงไม่นูนซึ่งเกิดจากการอักเสบ รอยแดงอาจจะเป็นอยู่นานหลายเดือนกว่าจะจางหาย
  • Post inflammatory hyperpigmentation คือเป็นรอยด่างดำหลังจากสิวหายแล้วอาจจะอยู่ได้นาน 18 เดือน เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง การป้องกันให้หลีกเลี่ยงแสงแดด อาจจะใช้ยาทาพวกวิตามินเอ หรือกรดผลไม้จะช่วยให้ผื่นจางลง
สาเหตุของการเกิดแผลเป็นสิว
เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ร่างกายจะจัดการแก้ไขโดยเม็ดเลือดขาวจะมาเก็บพวกเชื้อโรคและเซลล์ที่ตายแล้ว ร่วมกับปฏิกิริยาของการอักเสบ ทำให้เกิกดพังผืดบริเวณแผล


ชนิดของแผลเป็น
ชนิดของแผลเป็นแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ
  1. ชนิดที่เป็นแผลนูน เนื่องจากมีพังผืดปริมาณมากมาเกาะที่แผลทำให้เกิดลักษณธที่เรียกว่า keloid
  2. ชนิดแผลเป็นที่เป็นรอยบุ๋มลงซึ่งมีได้หลายลักษณะ

การป้องกัน
การป้องกันที่ดีที่สุดคือลดการอักเสบของสิว โดยการรักษาสิวอย่างถูกต้อง ไม่บีบหัวสิวเอง
การรักษา
จดุประสงค์ของการรักษาคือทำให้ผิวหนังกลับสู่ปกติให้มากที่สุด การรักษาสามารถทำได้้หลายวิธี
  • การฉีด collagen
  • การฉีดไขมัน
  • การลอกหน้า
  • การขัดหน้า
  • การใช้ laser

ยาสำหรับรักษาสิว

ยาสำหรับรักษาสิว


ยารักษาสิวมีทั้งชนิดทาภายนอกและชนิดรับประทาน สิวชนิดไม่รุนแรงหรือไม่มีการอักเสบมักจะใช้ยาทาภายนอก อาจจะใช้ชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกัน ยารักษาสิวมักจะทำให้อาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาด ยาที่ใช้รักษามีดังนี้
lสบู่และน้ำ
การใช้สบู่อ่อนหรือสบู่ที่เป็นกลางหรือสบู่สำหรับใช้กับเด็กล้างด้วยน้ำสะอาดวันละ 2-3 ครั้งอย่าให้มากกว่านี้เพราะจะทำให้แห้งไปและอาจจะเกิดปัญหากับผิวหนังได้ สบู่ที่ใช้ไม่ควรจะเป็นด่างมากเกินไป และไม่ควรที่จะถูแรงๆเพราะจะทำให้ผิวหนังพกช้ำและเกิดปัญหา
Benzoyl peroxide
เป็นชนิดครีมหรือเจล 2.5% 5% 10% เมื่อทายาไว้บนผิวหนังปริมาณเชื้อและไขมันบนผิวหนังจะลดลง ยานี้จะมีระคายเคืองต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลง ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบจึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข็มข้นต่ำๆ ทาระยะเวลาสั้นเช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้น และทาไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก ทาวันละ 2 ครั้งเมื่อทาตามบริเวณลำตัวอาจจะทำให้สีเสื้อจางลง

สิวอักเสบ papulonodular acne

สิวอักเสบ papulonodular acne
คำว่า papule หมายถึงสิวที่เป็นตุ่มเล็กๆน้อยกว่า 5 มิลิเมตร ส่วน nodule เหมือน papule แต่จะมีการอักเสบ และรอยโรคเป็นในผิวหนังระดับลึก เมื่อหายอาจจะเกิดแผลเป็น พวกนี้สิวจะมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆแดงๆ บางรายเป็นก้อนเล็กเมื่อคลำจะรู้สึกเหมือนกระดาษทราย 
การรักษา
  • ผู้ป่วยที่หน้ามันให้ใช้สบู่ล้างหน้าบ่อยๆ สบู่ที่ผสมยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์
  • ใช้ยาละลายขุยเช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1% cream ทาก่อนนอน ถ้ามีอาการะคายเคืองให้ทายาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรถูกแสงเพราะจะทำให้ผิวบริเวณนั้นระคายเคืองมาก ระยะแรกของการใช้ยาโรคอาจจะเหอ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น หรืออาจะใช้ 5% benzoyl peroxide[BP] ทา10-15นาทีแล้วล้างออก ถ้าไม่มีอาการแพ้ให้เพิ่มเป็น 1-2 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก
  • หลังจากล้างเอา BP ออกให้ทา clindamycin 0.1% วันละ 2-3 ครั้ง
  • ให้ยารับประทาน tetracyclin 250 mg ครั้งละ 2 เม็ดวันละ2 ครั้ง เมือดีขึ้นค่อยลดยาลงไม่ควรใช้ยานี้ในคนท้องac

Close comedone สิวหัวขาว

1
Close comedone สิวหัวขาว
comedone ที่ปลายไม่เปิด หรือเปิดเป็นรูเล็กมากเรียก close comedone ลักษณะเป็นตุ่มสีขาว ส่วน open comedone ลักษณะเป็นสิวหัวเล็กๆเป็นสิวหัวดำ ทั้งสองชนิดไม่ควรบีบให้หัวสิวออก เพราะเนื้อเยื่ออาจจะช้ำทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ 
 การรักษาสิวหัวขาว
  • ผู้ป่วยที่หน้ามันให้ใช้สบู่ล้างหน้าบ่อยๆ สบู่ที่ผสมยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์
  • ใช้ยาละลายขุยเช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1% cream ทาก่อนนอน ถ้ามีอาการะคายเคืองหลังจากทายาให้ทายาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรถูกแสงเพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดระคายเคืองมาก ระยะแรกของการใช้ยาสิวอาจจะเหอ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น หรืออาจะใช้ 5% benzoyl peroxide[BP] ทาสิวทิ้งไว้10-15นาทีแล้วล้างออก ถ้าไม่มีอาการแพ้ให้เพิ่มเป็น 1-2 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก
  • ถ้าหัวสิวขนาดใหญ่ ให้ผ้าชุบน้ำอุ่นปิดบริเวณที่เป็นหลังจากนั้นใช้ Schamberg loop กดเอาสิวออก

สิวเสี้ยน

สิวเสี้ยน
คำว่า comedone หมายถึงต่อมขุมขนที่มีไขมันอุดตัน หากหัวสิวเปิดสู่ผิวหนังเรียก open comedone ลักษณะเป็นสิวหัวเล็กๆเป็นสิวหัวดำ เรียก open comedonecomedone ส่วน comedone ที่ปลายไม่เปิด หรือเปิดเป็นรูเล็กมากเรียก close comedone ลักษณะเป็นตุ่มสีขาว ไม่ว่าจะเป็นสิวชนิดไหนก็ไม่ควรจะบีบออก ที่เห็นเป็นสีดำๆคือเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ไขมัน สิวหัวดำมิใช่เกิดจากความสกปรก ดังนั้นการอาบน้ำบ่อยๆหรือถูแรงๆอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนัง
การรักษา
  • ผู้ป่วยที่หน้ามันให้ใช้สบู่ล้างหน้าหรืออาบน้ำวันละ 2 ครั้ง สบู่ที่ผสมยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์และระคายต่อผิวหนัง อาจจะใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ salicylic ทาเพื่อลอกเอาเซลล์ที่ตายออก สำหรับท่านที่ผมมันให้สระผมวันละครั้ง
  • สำหรับเครื่องสำอางต้องเลือกชนิดที่ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ
  • ใช้ยาละลายขุยเช่น retinoic acid 0.025,0.05,0.1% cream ทาก่อนนอน หลังทายาถ้ามีอาการะคายเคืองให้ทายาวันเว้นวัน ผิวที่ทายาไม่ควรถูกแสงเพราะจะทำให้ระคายเคืองมาก ระยะแรกของการใช้ยาโรคอาจจะเหอ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น หรืออาจะใช้ 5% benzoyl peroxide[BP] ทา10-15นาทีแล้วล้างออก ถ้าไม่มีอาการแพ้ให้เพิ่มเป็น 1-2 ชั่วโมงแล้วจึงล้างออก
  • ถ้าหัวสิวขนาดใหญ่ ให้ผ้าชุบน้ำอุ่นปิดบริเวณที่เป็นหลังจากนั้นใช้ Schamberg loop กดเอาสิวออก


Acne หรือสิว

Acne หรือสิว
สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis สิวหัวดำ สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วย
  • ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี
  • การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว
  • มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน
  • แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมากน้อยมีอะไรบ้าง
  • กรรมพันธ์
  • การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
  • อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
  • อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
  • อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
  • การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
  • ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
  • การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด
ตำแหน่งที่เกิดสิว

ตำแหน่งที่เกิดสิวได้แก่บริเวณที่ไขมันมากได้แก่ หน้า ไหล่ หลัง อก
การรักษาสิว
  • งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า
  • งายาหรือครีมทาก่อนนอน
  • ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม
  • อาหารสามารถรับประทานได้แต่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มัน และหวานและก็อย่ารับมากจนอ้วน
  • ห้ามถูหน้าแรงๆในขณะล้างหน้า ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและใช้ผ้าซับเบาๆ
  • คนที่หน้ามันให้ล้างหน้าด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง
  • การเลือกยาทาสิวขึ้นกับชนิดของสิวซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์
  • การเลือกรับประทานยาขึ้นกับแพทย์ที่ดูแล
ยารักษาสิว
การรักษาสิวทางกายภาพ
  • การกดสิว ใช้รักษาสิวทั้งชนิดหัวดำและหัวขาว แต่ในกรณ๊รูเปิดเล็กมา อาจจะต้องใช้เข็มหรือเลเซอร์เพื่อให้รูเปิดใหญ่ขึ้น การกดต้องทำให้ถูกวิธีเพราะหากกดผิดจะทำให้สิวถูกดันลึกลง
  • การฉีด steroid เข้าใต้หัวสิว ข้อดีทำให้การอักเสบลดลงเร็ว แต่ถ้าฉีดมากไปหรือลึกเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋ม
  • การใช้ความเย็น ใช้ใไนโตรเจนเหลวในกรณีที่สิวเป็นชนิดถุง
การแบ่งชนิดของสิว
รูปตัดขวางของผิวหนัง

A = ผิวหนังปกติ B=สิวหัวดำ C=สิวหัวขาว D= สิวที่เริ่มเป็นตุ่ม E=สิวอักเสบและเป็นหนอง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิว
  • สิวเกิดจากความสกปรกของใบหน้าใช่หรือไม่ หากคุณเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกคุณจะล้างหน้าบ่อยและล้างแรงซึ่งจะทำให้ หน้าสูญเสียไขมัน และความชุ่มชื้น และเกิดระคายเคืองบนใบหน้าทำให้เกิดสิวมากขึ้น สิวมิใช่เกิดจากความสกปรกแต่เกิดจากเซลล์ที่ตายของผิวหนัง และสิ่งสกปรกร่วมกับไขมัน วิธีที่ถูกต้องให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและซับเบาๆด้วยผ้า
  • สาเหตุของสิวส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องสำอางที่ใช้
  • การรักษาสิวต้องใช้เวลา ควรปรึกษาแพทย์มนรายที่เป็นมากหรือไม่หาย
  • ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
  • สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิดสิว เช่นความสกปรก ละอองไขมันจากการปรุงอาหาร น้ำมันเครื่องเป็นต้น
สิ่งที่ต้องระวังในการรักษาสิวสำหรับคนท้อง
  • อนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งชนิดกินและทา เพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
  • ยาคุมกำเนิด
  • ยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracyclin
กลูต้าไธโอน,กลูตาไธโอน,กลูต้าเจล,กลูต้าน้ำ,อาหารเสริมเพื่อผิวขาว,ครีมหน้าขาว,ครีมรกแกะ,เซรั่มรกแกะ,รกแกะเม็ด ,เซรั่มหน้าใส,กาแฟลดน้ำหนัก,กาแฟลดความอ้วน,ลิโซ่,สมุนไพรลดน้ำหนัก,reductil,รักษาผมร่วงครีมหมอจุฬา ครีมจุฬาลักษมี